รีวิวหนัง A Tale of Two Sisters
ตู้ซ่อนผี จัดว่าเป็นหนึ่งใน “หนังผีในตำนาน” จากประเทศเกาหลีใต้ ที่สามารถกอบโกยรายได้จากผู้ชมในประเทศสหรัฐอเมริกามากเป็นประวัติการณ์ รีวิวหนัง A Tale of Two Sisters ความสำเร็จนี้ยังการันตีด้วยการที่ถูกนำไปสร้างใหม่อีกครั้งในชื่อ “The Uninvited” ที่นำแสดงโดย
“เอมิลี่ บราวนิ่ง” และ “อลิซาเบธ แบงค์” กันเลยทีเดียว ในขณะเดียวกัน หากมองในแง่ของความสยองขวัญและความแน่นของเนื้อหาแล้ว หนังผี A Tale of Two Sisters ตู้ซ่อนผี ก็ถือว่าล้ำหน้าหนังผีในยุคเดียวกันเป็นอย่างมากเลยทีเดียว ส่วนหนังผี A Tale of Two Sisters ตู้ซ่อนผี จะมีดีแค่ไหน ทำไมถึงได้รับการยกย่องว่าเป็นหนังผีที่ดีที่สุดตลอดกาลเรื่องหนี่ง มาลองติดตามอ่านรีวิวจากบทความชิ้นนี้กันเลย…
รีวิวหนังผี หนังผี A Tale of Two Sisters ตู้ซ่อนผี เป็นเรื่องราวของครอบครัวหนึ่งที่ถูกหลอกหลอนจากโศกนาฏกรรมการเสียชีวิตปริศนาภายในครอบครัว เมื่อสองสาวพี่น้องที่พักรักษาตัวอยู่ในสถาบันจิตเวชได้กลับมาอาศัยอยู่ในบ้านของพ่อและแม่เลี้ยงใจร้าย พวกเธอต้องเผชิญหน้าทั้งกับสภาพจิตใจของตัวเอง ความกดดันทางบ้านและเรื่องราวลี้ลับเหนือธรรมชาติที่ถาโถมเข้ามาหาพวกเธออย่างไร้ความปราณี
สำหรับจุดเด่นของหนังผี A Tale of Two Sisters ตู้ซ่อนผี คือ การดำเนินเรื่องราวที่ไม่เป็น “เส้นตรง” อย่างที่หนังผีส่วนใหญ่ชอบทำกัน เรียกได้ว่าเป็นแนวเรื่องที่แปลกใหม่ในยุคนั้น แต่ละส่วนของเรื่องราวถูกนำมาปะติดปะต่อกันอย่างชาญฉลาด ผู้กำกับอย่าง Kim Jee-woon ให้ความสำคัญกับคุณภาพของการถ่ายทำอย่างมาก แถมดูเหมือนจะชำนาญในการเล่นตลกกับจิตใจของคนดูอาการ ทำให้หนังผี A Tale of Two Sisters ตู้ซ่อนผี จัดว่าเป็นหนึ่งในผลงานชิ้นเอกที่เต็มไปเด้วยความน่าสนใจตลอดทั้งเรื่องเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าหนังผี A Tale of Two Sisters ตู้ซ่อนผี จะมีความล้ำยุคของเรื่องราวเป็นอย่างมาก แต่ด้วยซับซ้อนนี้เอง ทำให้หลายคนอาจต้องดูมันซ้ำอีก 2-3 รอบ เพื่อที่จะสามารถทำความเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ เรียกได้ว่าต้องอาศัยประสาทตาและหูตลอดทั้งเรื่อง ทำให้เรื่องนี้อาจจะเป็นปัญหาสักหน่อยสำหรับคนที่มีสมาธิสั้น โดยเฉพาะในช่วงแรกที่เรื่องราวอาจดูค่อนข้างยากไปสักหน่อยสำหรับหลายคน แต่เมื่อเรื่องราวดำเนินไปถึงช่วงท้าย เชื่อว่าก็จะคลี่คลายให้หายสงสัยได้พอสมควรเช่นกัน
โดยรวมแล้วหนังผี A Tale of Two Sisters ตู้ซ่อนผี น่าดูหรือเปล่า!?
สำหรับผู้เขียนแล้ว หนังผี A Tale of Two Sisters ตู้ซ่อนผี เป็นหนังที่ค่อนข้างเก่า แต่ในขณะเดียวกันก็ยังคงความ “เก๋า” แบบเหนือกาลเวลา ถ้าหากใครชื่นชอบหนังสยองขวัญ ที่ต้องอาศัยการสังเกตและใช้ความคิดควบคู่กันไปด้วย เชื่อว่าหนังผี A Tale of Two Sisters ตู้ซ่อนผี จะเหมาะกับการรับชมเพื่อเสพความหลอนที่มีคำอธิบายอย่างแน่นอน…
A Tale of Two Sisters ตู้ซ่อนผี เป็นภาพยนตร์สยองขวัญแนวจิตวิทยาจากประเทศเกาหลีใต้ โครงเรื่องดัดแปลงมาจากนิทานพื้นบ้านในสมัยราชวงศ์โชซอน ดูหนัง 4k ซึ่งเรื่องราวในนิทานเล่าถึงของ 2 พี่น้องที่ถูกแม่เลี้ยงทำร้ายจนตาย วิญญาณของพวกเธอจึงกลับมาล้างแค้น กำกับโดย คิม จี วูน ผู้ผ่านผลงานการกำกับภาพยนตร์สยองขวัญเกาหลีมาแล้วมากมาย
เป็นเรื่องราวของ ซูมี และ ซูยอน 2 พี่น้องที่พักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลจิตเวชหลังเกิดโศกนาฎกรรมปริศนาภายในครอบครัว หลังกลับมาจากรักษาอาการป่วยที่ยาวนาน คราวนี้พวกเธอต้องเผชิญหน้ากับ อึนจู ภรรยาคนใหม่ของ มูฮุน ผู้เป็นพ่อ ซูมีตั้งตนเป็นปฏิปักษ์ต่อต้านอึนจูอย่างเต็มที่ แต่กับ ซูยอน ซึ่งเป็นน้องที่อ่อนแอกว่า โดนภรรยาคนใหม่ทารุณกรรมสารพัด จนถึงกับจับขังไว้ในตู้เสื้อผ้า และยังมีเรื่องราวลี้ลับเหนือธรรมชาติเกิดขึ้นภายในบ้านหลังนี้อยู่เรื่อยๆ ทำให้สองพี่น้องมีสภาพจิตใจย่ำแย่กว่าเดิม
กำลังมาแรงมากๆ (หนังไทยอย่าง ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ ดูหนังออนไลน์ 4k ก็ได้รับการกล่าวถึงและนำไปสร้างใหม่ในเวอร์ชันฮอลลีวูดเช่นกัน) สำหรับ ตู้ซ่อนผี เป็นหนัง Horror/Drama ที่เล่นกับจิตใจคนดูได้อย่างร้ายกาจ เป็นหนังสยองขวัญที่ไม่ได้เล่าเรื่องเป็นเส้นตรง และไม่ได้มีฉากตุ้งแช่ฟุ่มเฟือย ที่เมื่อเทียบกันกับบทภาพยนตร์ในยุคนั้นแล้ว ถือว่าเรื่องนี้มีบทที่ค่อนข้างแปลกใหม่ ล้ำยุคสมัย เนื้อหาลึกซึ้งกว่าบทหนังสยองขวัญเรื่องอื่นๆ
ตู้ซ่อนผี มีจุดเด่นที่บท และมุกหักมุมอันชาญฉลาด เป็นหนังสยองขวัญที่ไม่เน้นความน่ากลัวของผี แต่หนังประสบความสำเร็จในการสร้างบรรยากาศที่ไม่น่าไว้ใจ เกือบ 90% ของเรื่อง เป็นฉากในบ้านที่ทำออกมาหลอนใช้ได้เลย ไซโคกันเก่งมาก ดำเนินเรื่องได้น่าติดตามทุกซีน และชวนระทึกได้ตั้งแต่ต้นจนนาทีสุดท้าย ถึงขนาดว่าหนังจบไปแล้ว แต่การเฉลยเหตุของโศกนาฏกรรมในเรื่อง ก็ยังชวนหดหู่ไม่น้อย อารมณ์หนังจบคนไม่จบ
สรุป: อาจไม่เหมาะกับคนที่ตั้งใจจะดูหนังผีล่าหลอนโหดๆ หรือ Jump Scare กันทุกอิริยาบท เพราะเรื่องนี้ ผีออกน้อยมาก แต่เน้นบรรยากาศหลอนๆ และการแสดงของสองพี่น้องกับแม่เลี้ยง ที่เอาจริงๆ แค่นี้ก็อึดอัดไม่น่าไว้ใจจะแย่แล้ว ตัวเนื้อหาของหนังมีความซับซ้อน ต้องอาศัยการสังเกตและใช้ความคิดควบคู่กันไป ช่วงต้นเรื่องอาจจะทำความเข้าใจยากอยู่บ้าง แต่เมื่อเล่ามาถึงช่วงท้าย เรื่องราวก็จะคลี่คลายให้หายสงสัยกันได้เอง
1 ในหนังสยองขวัญเกาหลีที่กำเนิดในยุคหนัง Horror Asia กำลังบูมเปรี้ยงปร้างในช่วงนั้น หนังสยองจากฝากเอเชียหลายเรื่องถูกฮอลลีวูดนำไปรีเมคกันยกใหญ่ เรื่องนี้ก็เช่นกัน
หลังจากดูจบก็รู้ทันทีเลยว่าชอบหนังเรื่องนี้อย่างมาก สาเหตุอย่างหนึ่งที่ชอบก็คือ หนังเรื่องนี้ไม่ได้เน้นความเป็นผี ไม่ได้ให้ภูตผีปีศาจเป็นตัวเดินเรื่องไป …หนังที่พูดถึงพี่น้องฝาแฝดที่กลับมาบ้านในสภาวะที่ไม่เหมือนเก่าอีกต่อไป มีความระหองระแหงกับพ่อและแม่เลี้ยงที่คอยกีดกัน
หนังมาใช้สภาพจิตใจของตัวละคร ความดำมืด ความอาฆาตพยาบาทเครียดแค้นเป็นตัวขับเคลื่อน ซึ่งมันได้ผลมาก มันอินไปกับหนังและรู้สึกว่ามันมีอะไรที่น่าติดตามอยู่ตลอดเวลา …ฉะนั้นแล้วมันเลยดูมีเนื้อหาสาระที่ค่อนข้างใหม่ตรงที่ว่า เมื่อความน่ากลัวไม่ได้เกิดจากภูตผีปีศาจ แต่มันเกิดจากจิตใจมนุษย์ด้วยกันเอง ก็สามารถทำให้น่ากลัว น่าหวาดหวั่นได้
รีวิวหนัง A Tale of Two Sisters
หนังมีความน่าติดตามทุกนาทีครับ ดำเนินเรื่องในบ้านกันเสียส่วนใหญ่ แล้วหนังก็กำหนดบรรยากาศภายในบ้านมาด้วยสภาพที่หลอนไม่แพ้กันครับ มีซอกหลืบ บางมุมที่ชวนร้องเสียว ดนตรีกล่อมประสาทแบบเหมาะเจาะไม่ลั่น ไม่เน้นตุ้งแช่แบบฝั่งตะวันตก แล้วมันก็หลอนด้วย กระตุกขวัญแบบเป็นระยะๆ ได้ผลดีมาก
นักแสดงในเรื่องก็ตีบทแตก ทำให้คนดูขวัญผวาไปตามๆ กัน
หนังชวนลุ้นชวนระทึกตั้งแต่ต้นจนจบจริงครับ ถ้าใครติดตามหนังมาแต่ต้น เราขอยินดีด้วยที่อยากจะบอกว่า หนังเรื่องนี้มันมีทีเด็ดชุดใหญ่จนทำให้เราคนดูต้องเซอร์สไพรส์ไปกับมันแน่นอน
เป็นคุณจะรู้สึกอย่างไร ถ้าวันหนึ่งพ่อของคุณพาผู้หญิงคนใหม่เข้ามาในบ้าน ทั้งๆที่แม่ของคุณยังไม่ได้ล้มหายตายจากไปไหน เธอคนนั้นมีอาชีพเป็นนางพยาบาล ซึ่งควรจะทำงานปรนนิบัติดูแลแม่ของคุณ ไม่ใช่ลอบเข้ามาตีท้ายครัวเยี่ยงนี้ และที่น่าเจ็บแค้นยิ่งไปกว่านั้น ทั้งสองยังมีหน้ามาเปิดเผยความรู้สึกต่อกันอย่างไม่ปิดบังอีกด้วย ราวกับมันเป็นเรื่องธรรมดาสามัญเหลือแสน
สำหรับเด็กสาวผู้กำลังจะย่างเข้าสู่วัยรุ่นอย่าง ซูมี (อิมซูจุง) เธอมีสิทธิทุกประการที่จะตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับ อึนจู (ยวมจุงอา) ดูหนังออนไลน์ ว่าที่แม่เลี้ยงในอนาคต ซึ่งไม่ได้พยายามจะทำให้สถานการณ์ผ่อนคลายความตึงเครียดลงแต่อย่างใด ด้วยการใช้ไม้แข็งกำราบเด็กหญิงสองคนที่ไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของเธอ แต่ใครบ้างจะคาดคิดว่า
คำพูดเชือดเฉือนน้ำใจเพียงไม่กี่คำที่ซูมีกล่าวกับอึนจู ในตอนเช้าของวันที่เกิดเสียงดังโครมครามขึ้นในห้องของน้องสาวคนเล็ก ซูยอน (มุนกุนยอง) จะนำไปสู่ผลลัพธ์ชวนสะพรึงอย่างคาดไม่ถึง… คำพูดที่ซูมีคงไม่มีวันทำใจให้ลืมได้… คำพูดที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเธอไปตลอดกาล
A Tale of Two Sisters ได้แรงบันดาลใจมาจากตำนานสยองขวัญเลื่องชื่อของประเทศเกาหลีเกี่ยวกับเด็กหญิงสองคนที่ถูกแม่เลี้ยงใจร้ายวางอุบายฆาตกรรมจนถึงแก่ความตาย แต่ความคั่งแค้นในจิตใจทำให้ดวงวิญญาณของพวกเธอไม่อาจเดินทางไปสู่สุขคติได้ หากยังคงวนเวียนอยู่บนโลกเพื่อทวงถามความยุติธรรม
ผู้กำกับ/เขียนบท คิมจีวุน ได้ดัดแปลงตำนานซินเดอเรลล่าฉบับนองเลือดข้างต้นให้ร่วมสมัยและลุ่มลึกขึ้นด้วยการตัดทอนปมฆาตกรรมออก ลดทอนแง่มุมเมโลดราม่าลง (ตัวละครถูกแบ่งแยกเป็นสองกลุ่ม นั่นคือ คนดีกับคนเลว ผู้กระทำกับผู้ถูกกระทำ เพื่อใช้สั่งสอนศีลธรรมขั้นพื้นฐาน) แล้วเพิ่มความซับซ้อนให้แก่ตัวละครหลัก
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อึนจู ซึ่งห่างไกลจากสถานะปีศาจไร้หัวใจเหมือนแม่เลี้ยงในตำนาน จริงอยู่ที่เธออาจไม่ใช่ แมรี่ ป๊อปปิ้น ผู้รักเด็กทุกคนโดยปราศจากเงื่อนไขเช่นกัน แต่อย่างน้อยหัวใจของเธอก็ไม่ได้สิ้นไร้กลิ่นอายแห่งมนุษยธรรมเสียทีเดียว ดังจะเห็นได้ว่าเธอกำลังตั้งใจจะเดินกลับไปช่วยซูยอนอยู่แล้ว แต่ต้องมาประจันหน้ากับกำแพงหินผาที่เต็มไปด้วยหนามแหลมอย่างซูมีเข้าเสียก่อน ดังนั้น ด้วยอารมณ์คั่งแค้นเพียงชั่ววูบของมนุษย์ผู้อ่อนแอ เธอจึงตัดสินใจแก้เผ็ดเด็กสาวด้วยการ ‘นิ่งเฉย’ เสีย
ทางด้านซูมีเองนั้นก็เป็นตัวละครที่มีความขัดแย้งอยู่ภายในไม่น้อย รายละเอียดอันน่าหวั่นวิตกบางอย่างทำให้สถานะของเธอหาใช่ผ้าขาวบริสุทธิ์ เช่น การที่เธอนึกภาพตัวเอง ‘รับบท’ เป็นอึนจูได้สื่อนัยยะถึงปมอีเล็กทร่า (1) และความต้องการจะเป็นผู้หญิง ‘คนเดียว’ ในชีวิตของพ่อ ขณะเดียวกัน แม้ว่าซูมีจะไม่ได้แสดงท่าทีชิงชังมารดาของตนให้เห็นเด่นชัด แต่หนังก็บอกใบ้อยู่ในทีว่า ซูยอนคือลูกสาวคนที่ใกล้ชิดผูกพันกับแม่มากกว่า ทั้งสองแชร์ความลับเล็กๆน้อยๆซึ่งซูมีไม่เคยรับรู้มาก่อน (คาถาเรียกแม่) หลังเกิดเหตุ ‘สงครามเย็น’ บนโต๊ะอาหาร แม่เลือกจะเดินไปปลอบซูยอน ทั้งต่อมายังตกลงใจลงมือกระทำการบุ่มบ่ามในห้องนอนของลูกสาวคนเล็กอีกด้วย ตรงกันข้าม คนดูกลับไม่มีโอกาสได้เห็นซูมีแสดงปฏิสัมพันธ์กับแม่ของตนเองเลยตลอดทั้งเรื่อง บางทีนั่นอาจเป็นเพราะแม่กับซูยอนล้วนมีบุคลิกเปราะบางคล้ายคลึงกัน ดังนั้นจึงไม่มีใครสามารถเข้าใจพวกเธอได้ดีไปกว่าอีกฝ่าย
ซูมีเป็นตัวละครที่แข็งกร้าว ดื้อรั้น และออกจะมีนิสัยใกล้เคียงกับอึนจูมากกว่าแม่หรือน้องสาว ด้วยเหตุนี้เธอจึงกล้าลุกขึ้นยืนหยัดต่อกรกับแม่เลี้ยงอย่างไม่กลัวเกรง กระนั้นก็ตาม การที่เธอเล่นละครหลอกตัวเองโดยรับบทเป็นทั้ง ‘ผู้พิทักษ์’ และ ‘คนทรมาน’ ซูยอนในเวลาเดียวกันก็บ่งชี้ถึงความรู้สึกขัดแย้งภายในจิตใต้สำนึกอยู่กลายๆ เหมือนเธอกำลังยืนอยู่กึ่งกลางสมรภูมิรบโดยไม่รู้ว่าควรจะเข้าพวกกับฝ่ายไหนดี กล่าวคือ ใจหนึ่งเธอรักและสงสารน้องสาวอย่างแท้จริง แต่อีกใจหนึ่งก็หงุดหงิดที่เห็นน้องสาวปล่อยตัวเองตกสู่ภาวะจำยอมโดยไม่คิดจะลุกขึ้นสู้ ดูหนัง จนเมื่อความอึดอัดคับข้องใจเริ่มทับถมมากเข้า สุดท้ายมันจึงไหลทะลักออกมา ในฉากที่ซูมีคาดคั้นความจริงจากซูยอนว่าใครเป็นคนทำร้ายเธอ
ด้านมืดที่เจือจางในกรณีของอึนจูกับผ้าขาวที่เปื้อนสีในกรณีของซูมี ทำให้หนังของคิมจีวุนค่อนข้างลุ่มลึกในแง่ของการสร้างตัวละครและบทวิเคราะห์สภาพทางจิต ต่างจากกลวิธีกระตุกขวัญของเขา ซึ่งนอกจากจะไม่มีอะไรแปลกใหม่แล้ว (นับแต่ The Ring กับขบวนหนังเลียนแบบอีกหลายสิบเรื่อง ภาพผู้หญิงผมยาวปรกหน้าคืบคลานไปมาก็แทบจะเรียกได้ว่าเป็นฉากบังคับในหนังสยองของเอเชียเลยทีเดียว) หลายครั้งยังนิยมช็อคผู้ชมให้สะดุ้งตกใจอย่างตรงไปตรงมาด้วยภาพและเสียง (ดังสนั่น) เป็นระยะๆอีกด้วย โดยส่วนใหญ่แม้จะได้ผลบ้างตามสมควร แต่มันก็เป็นเพียงแค่อารมณ์ผิวเผิน เปลือกนอกเท่านั้น
โดยภาพรวมแล้ว หนังกลับประสบความสำเร็จมากกว่าในแนวทางดราม่าเกี่ยวกับภาพสะท้อนของวิกฤติครอบครัวและผลกระทบที่คนตายมีต่อคนเป็น ดังจะเห็นได้จากฉากย้อนอดีตในช่วงท้าย ซึ่งแม้โดยพื้นฐานทางโครงเรื่องแล้วจะมีขึ้นเพื่ออธิบายอาถรรพ์ ‘ตู้ซ่อนผี’ เป็นหลัก แต่พลังอันเด่นชัด เข้มข้น และท้ายที่สุด สามารถสร้างความอิ่มเอมทางอารมณ์ได้บาดลึกกว่า อยู่ตรงที่มันยังช่วยแจกแจงถึงสาเหตุแห่งอาการบุคลิกภาพแปลกแยกในตัวซูมีอีกด้วย และพร้อมกันนั้นก็ทำให้เธอก้าวเข้าใกล้สถานะ tragic hero (2) มากยิ่งขึ้น
ความสะเทือนใจหลักในฉากดังกล่าว หาได้เกิดจากภาพจุดจบอันน่ารันทดของซูยอนไม่ แต่เป็นการที่คนดูล้วนตระหนักดีถึงชะตากรรมที่เฝ้ารอซูมีอยู่เบื้องหน้าต่างหาก นับแต่เธอก้าวเท้าออกจากบ้านอย่างหุนหันในเช้าวันนั้นหลังเปิดฉากปะทะคารมกับอึนจู ซึ่งเปรียบได้กับการตัดสินใจผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ที่กำลังจะทำให้เธอและคนใกล้ตัวต้องพบจุดจบอันน่าเศร้า
คำพูดจี้ใจดำเพียงไม่กี่คำกลายเป็นตราบาปหนักอึ้งซึ่งเธอต้องแบกรับไปตลอดชีวิต (ฉากการเล่นละครตีถุงตุ๊กตาในช่วงท้ายบ่งบอกความหมายว่า ซูมีไม่เพียงจะโทษอึนจูต่อการตายของน้องสาวเท่านั้น หากแต่ยังโทษว่าส่วนหนึ่งมันเป็นความผิดของเธอเองอีกด้วย… ที่มาช่วยไม่ทัน…
ที่โหมกระตุ้นไฟแค้นในใจแม่เลี้ยง) บุคลิกภายนอกของซูมีอาจแข็งกร้าว ไม่กลัวเกรง รวมทั้งดูจะเป็นผู้นำมากกว่าผู้ตาม แต่บทเฉลยในตอนท้ายได้เปิดโปงข้อเท็จจริงที่แท้ว่า สุดท้ายเธอยังคงตกเป็นฝ่ายถูกกระทำอยู่ดี เธอคือเหยื่อของชะตากรรม จิตที่ยึดมั่น และความทรงจำที่ตามหลอกหลอนเหมือนผีร้าย… ผีซึ่งปรากฏตัวให้เห็นเป็นรูปธรรมเพียงไม่กี่ครั้ง (แต่ส่วนใหญ่ตัวละครกลับ ‘ตระหนัก’ ถึงการดำรงอยู่ของมัน แม้จะมองไม่เห็นก็ตาม) ไม่แสดงตัวตนเด่นชัดว่าเป็นใครกันแน่ และไม่ได้สำแดงอำนาจในการชำระแค้นใดๆ หากแต่ทำหน้าที่เป็นดังตัวแทนของความรู้สึกผิดบาป หรืออดีตซึ่งตามมาหลอกหลอนคนเป็นเสียมากกว่า
สิ่งหนึ่งซึ่งหนังพยายามจะสื่อสารถึงผู้ชม ก็คือ ไม่มีใครสามารถทำร้ายมนุษย์ให้เจ็บปวดได้มากไปกว่าตัวเราเอง และภูตผีปีศาจตนใดก็ไม่น่าหวาดกลัวเท่าความทรงจำอันเจ็บปวดที่เราอยากจะลืม เพราะไม่ว่าจะทำอย่างไร เราก็ไม่อาจขับไล่มันให้สูญสลายไปได้
ซูมีตระหนักถึงสัจธรรมข้างต้นดียิ่งกว่าใครๆ หลังจากถูกวิญญาณแห่งอดีต ตลอดจนความรู้สึกผิดบาป ตามรังควานแบบไม่เลิกราทั้งในรูปของอาการแปลกแยกทางบุคลิกภาพ ซึ่งพัฒนาขึ้นมาเพื่อปฏิเสธความเป็นจริง วิญญาณและฝันร้าย หรือแม้กระทั่งอึนจูเองก็ไม่วายถูก ‘ผีในตู้’ โผล่ออกมาหลอกหลอนเช่นกัน
คนเดียวที่ดูเหมือนจะไม่รู้สึกรู้สมใดๆกับเรื่องราวทั้งหมดก็คือ มูฮุน (คิมคับซู) พ่อของซูมีและสามีของอึนจู แรกเริ่มเดิมที คนดูอาจรู้สึกสงสารเขาที่ต้องรับมือกับความ ‘สับสน’ ของซูมี แต่หากมองให้ลึกถึงบ่อเกิดแห่งปัญหาแล้ว เขาผู้นี้มิใช่หรือที่เป็นต้นเหตุแห่งความวุ่นวายทั้งหมด?
ถ้าเขาหนักแน่น มั่นคง อึนจูก็คงไม่มีโอกาสเลื่อนฐานะจากพยาบาลมาเป็นแม่เลี้ยงได้ ถ้าเขาคำนึงถึงความรู้สึกของลูกทั้งสองคนกับเมียเหนืออื่นใด สัมพันธ์ชู้สาวกับอึนจูก็ควรจะถูกปกปิดเอาไว้ให้มิดชิด ไม่ใช่เปิดกระจ่างให้ทุกคนรับทราบโดยทั่วกันเช่นนี้ และที่สำคัญ หลังจากโศกนาฏกรรมอันเนื่องมาจากความมักง่ายของเขา มูฮุนกลับเป็นคนเดียวที่ทำใจได้โดยปราศจาก ‘ผลตกค้าง’ อย่างสิ้นเชิง เขายังคงดำเนินชีวิตเหมือนเช่นปรกติ โดยไม่เคยสังเกตเห็น ‘ผี’ และมืดบอดต่อความไม่ชอบมาพากลทั้งหลายทั้งปวง
หลายทศวรรษผ่านไป สุดท้ายผู้หญิงก็ยังคงตกเป็น ‘เหยื่อ’ ตลอดกาลในหนังสยองขวัญ ถึงแม้ภัยร้ายในครั้งนี้จะเกิดขึ้นจากภายในมากกว่าปัจจัยภายนอกก็ตาม ส่วนไอ้ตัวร้าย (ผู้ชาย) ดูเหมือนจะนอนหลับสบาย…เช่นเคย