รีวิว Glass Onion: A Knives Out Mystery – ฆาตกรรมหรรษา ใครฆ่าเพื่อน
หนัง แนวลึกลับ สืบสวนสอบสวน ฆาตกรรมหรรษา ใครฆ่าเพื่อน ได้ผู้กำกับ Rian Johnson เรื่องราว เมื่ออภิมหาเศรษฐี Miles Bron (Edward Norton จาก Birdman) ซึ่งรวยและมี vibes ระดับ Elon Musk จัดปาร์ตี้สุดสัปดาห์ ชวนเพื่อน ๆ มาเล่นเกมปริศนาฆาตรกรรม ณ เกาะหรูส่วนตัวแห่งหนึ่งในกรีซ โดยเพื่อน ๆ แต่ละคนก็ล้วนเป็นคนดัง คนรวย หรือผู้มีอิทธิพลในวงการต่าง ๆ หากคุณสนใจเรื่องราวสุดพิลึกพิศดารนี้ สามารถไปรับชมหนังเต็มเรื่องได้ที่ ดูหนังออนไลน์
Glass Onion: A Knives Out Mystery ผลงานภาคต่อของ Rian Johnson
หลังภาคแรกอย่าง ‘Knives Out’ ในปี 2019 ที่ทำรายได้ทั่วโลกไปราว 300 กว่าล้านเหรียญ ส่งผลให้ Rian Johnson สร้างภาคที่สองตามออกมาในปีนี้ ฆาตกรรมหรรษา ใครฆ่าเพื่อน แต่ต่างตรงที่มันลงในบริการสตรีมมิ่งอย่าง Netflix แทนที่จะฉายโรงในวงกว้าง แต่ก็ยังคงเป็น Daniel Craig ชายผู้ที่เคยเป็นสายลับศูนย์ศูนย์เจ็ดกับบทบาทนักสืบหัวเห็ดที่เก่งกาจที่สุดในโลก เขาคือตัวละครที่ยืนพื้น ขณะที่ตัวละครแวดล้อมคนอื่นๆ ก็เปลี่ยนชุดไป
เรื่องย่อ
Knives Out 2 เรื่อง ย่อ เรื่องเริ่มต้นที่ ไมล์ส บรอน (Edward Norton) มหาเศรษฐีเจ้าของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ อัลฟา (Alpha) ได้ส่งบัตรเชิญเข้าร่วมวงทริปพักร้อนประจำปีบนเกาะส่วนตัวสุดหรูไปถึงบรรดาเหล่าก๊วนเพื่อนสนิทต่างขั้วของเขาเอง ทั้ง เบอร์ดี เจ (Kate Hudson) อดีตนางแบบที่ผันตัวมาทำธุรกิจแบรนด์เสื้อผ้า ดูค โคดี (Dave Bautista) สตรีมเมอร์กล้ามบึ้กผู้คลั่งความเป็นชายแท้
แคลร์ เดเบลลา (Kathryn Hahn) ผู้ว่าการรัฐคอนเน็ตทิคัตที่กำลังลงสมัครเลือกตั้งเป็นวุฒิสมาชิกด้วยการชูนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม ไลโอเนล ตุสแซง (Leslie Odom Jr.) นักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะ แอนดี แบรนด์ (Janelle Monáe) อดีตผู้ร่วมก่อตั้งอัลฟา และ เบอนัวต์ บลองก์ (Daniel Craig) นักสืบอัจฉริยะที่อยู่ดี ๆ ก็ถูกเชิญมาแบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่ แต่อยู่ดี ๆ ก็มีเหตุฆาตกรรมเกิดขึ้นกลางทริปนั้น เบอนัวต์ บลองก์ จึงต้องลงมือไขคดีปริศนาเพื่อหาให้ได้ว่า “ใครฆ่าเพื่อน ? “
การดำเนินเรื่องที่สนุก และเข้มข้นกว่าเดิม
เริ่มต้นเรื่องนั้นหนังโผล่มาก็บอกเล่าถึงกลุ่มคนทั้งหมดที่ได้รับกล่องประหลาด glass onion a knives out mystery รีวิว บอกเล่าแบ็กกราวด์เล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับพวกเขาที่มันออกจะจิกกัดเรื่องที่ผู้คนสมัยนี้พูดถึงกันให้แซ่ด เรื่องของนักการเมืองที่มีกลุ่มทุนหนุนหลัง เรื่องยูทูบเบอร์ที่พูดจาส่อเสียดเพศหญิงแต่ตัวเองก็กลัวแม่จนหัวหด
เรื่องของนักวิจัยที่ต้องทำตามใบสั่งของมหาเศรษฐีที่ส่งไอเดียมาให้ตลอดเวลา เรื่องของคนรวยที่ทวีตอะไรไม่คิดและก่นด่าความ โว้กของผู้คน ด้านมหาเศรษฐีก็ใช้เงินแบบอู้ฟู่ไปกับทุกอย่างที่คนธรรมดาเขาไม่อาจทำได้ ขณะที่นักสืบอัจฉริยะก็กำลังฟุ้งซ่าน เขาเก่งกาจด้านการสืบไขคดี แต่ดันโง่ในการเล่นเกม Imposter
ความรู้สึกหลังรับชม
หนังเริ่มสร้างความสงสัยให้กับคนดูด้วยการบอกว่า แอนดี้ คือหญิงสาวที่ถูกเฉดหัวออกไปจากบริษัทแต่กลับได้รับการเชื้อเชิญมาเล่นเกมไขคดี ความสงสัยที่สองมาพร้อมๆ กัน คือนักสืบเบนัวต์ เขามาได้ยังไงในเมื่อไมล์สไม่ได้เชิญมา ผู้ชมอย่างเราๆ จะได้สนุกกับการสับขาหลอกไปเรื่องของผู้กำกับ จากเหตุสนุกของการเซ็ตฆาตกรรมหลอกๆ กลับกลายเป็นฆาตกรรมของจริงที่บังเกิดขึ้นโดยไม่มีใครคาดคิดมาก่อน
หนังสร้างให้นักสืบหัวเห็ดอย่าง เบนัวต์ บลองค์ คิดว่าตัวเองนั้นมีสมองอันสุดยอดที่มองปราดเดียวก็เห็นที่มา แต่ทว่า เขากลับได้รู้ในอีกทีว่า ยังมีสิ่งที่เขาไม่รู้อยู่ในการรวมตัวครั้งนี้บางจุด ถ้าคุณเป็นพวกที่ดูหนังแนวสืบปริศนามาเยอะก็อาจจะเดาได้บ้างบางส่วน แต่ขณะเดียวกัน ก็อาจจะมองเห็นการหยิบโน่นจับนี่มาเคล้าคนได้สนุกมือของผู้กำกับ Rian Johnson
ชื่อหนังเรื่องนี้อาจเป็นแค่ชื่อผับที่เหล่าตัวละครชอบไปปาร์ตี้สังสรรค์กันก็จริง แต่มันก็เป็นชื่อของคฤหาสน์หลังงามแห่งนี้ด้วย รวมทั้งยังมีความหมายตามที่เบนัวต์ บลองค์ว่าเอาไว้ แต่เหนืออื่นใด ดูราวกับหนังจะตั้งใจเหน็บแหนม (หรืออาจเรียกว่าหลอกล่า) คนรวยล้นฟ้าบางคนบนโลกใบนี้
แถมความรวยนี่แหละก็สร้างเครือข่ายกลุ่มเพื่อนกลุ่มหนึ่งขึ้นมา พวกเขาต่างเข้าข้างและช่วยเหลือเพื่อนคนรวยแม้เพื่อนคนนั้นจะทำอะไรแย่ๆ และไม่เข้าท่าเลยก็ตาม ขณะเดียวกัน ความสัมพันธ์ที่ขับเคลื่อนด้วยเรื่องผลประโยชน์ก็พร้อมจะแปรเปลี่ยนเป็นการหักหลังได้ในพริบตา
Glass Onion: A Knives Out Mystery ต่างจากภาคก่อนยังไง?
ถ้าภาคที่แล้วคือการเล่าเรื่องในสไตล์ Whodunnit ในแบบนิยายของ อกาธา คริสตี (Agatha Christie) ที่มีแนวทางของตัวเองชัดเจน เน้นวิธีการหักมุมของตัวเนื้อเรื่อง ปั่นรวมกับความแพรวพราวของตัวบทที่สอดแทรกมุกตลกร้าย มุกแซวประเด็นสังคม และฝีมือการแสดงขั้นเทพของเหล่านักแสดง ซึ่งจริง ๆ ครึ่งแรกของภาคนี้ก็ยังคงเป็นแบบนั้นนะ
เพราะตัวหนังครึ่งแรกให้เวลาไปกับการปูเรื่อง ปูตัวละคร และปูเนื้อ เรื่องเข้าสู่ความเป็น Whodunnit และเอากลิ่นอายแนวฆาตกรรมตลกร้ายในสไตล์ ‘Knives Out’ กลับมาใช้ แต่ว่าเนื้อเรื่องทั้งสองภาคไม่ได้ต่อกันนะ ไม่จำเป็นต้องดูภาคแรกมาก่อนก็ได้ แต่ถ้าดูแล้วก็จะพอเข้าใจกลิ่นอายของความเป็น ‘Knives Out’ มากขึ้น
ซึ่งรวมไปถึงธีมการจิกกัดประเด็นร่วมสมัย ที่จะว่าไปมันก็เป็นแนวทางของ ‘Knives Out’ ไปซะแล้วล่ะ โดยเฉพาะครึ่งแรกของตัวหนังที่หล่อเลี้ยงกราฟความบันเทิงด้วยการจิกกัดวิถี New Normal แถมยังหันไปจิกกัดเหล่าบรรดานักธุรกิจวงการ Tech Company ด้วย โดยเฉพาะบรรดา Tech Nerd และที่ผู้เขียนชอบมากโดยส่วนตัวก็คือ การแซะคำว่า ‘Disruption’ ครับ
คือไม่ได้แค่เอามาแซะผ่านคาแรกเตอร์ตัวละครอย่างเดียว แต่ยังแอบแซะเหล่า Disruptor ว่าจริง ๆ แล้วก็ไม่ต่างจากนักธุรกิจฟอนเฟะนั่นแหละ ทั้งหมดนี้สะท้อนผ่านไดอะล็อกของ ไมล์ส บรอน ได้ย้อนแย้งแสบง่ามใจมาก ๆ ยิ่งดูก็ยิ่งรู้ทรงเลยว่าอีตานี่มัน อีลอน มัสก์ (Elon Musk) ผสม สตีฟ จอบส์ (Steve Jobs) ชัด ๆ แถมยังทำออกมาได้โคตรจะบันเทิงเลยแหละ
บทสรุป
โครงเรื่องที่ผู้ชมเห็นว่าสูตรเดิมก็จริง แต่ตัวเรื่องจริงกลับสามารถฉีกพลิกออกไปได้หลายตลบ ตั้งแต่การเล่าเรื่องที่ดูเหมือนไม่มีอะไร นักสืบคนเก่งบังเอิญไปติดอยู่ที่เกาะส่วนตัวกับคดีฆาตกรรมสดๆ ตัวเรื่องกลับสามารถเล่าเรื่องราวที่ดูเบสิคซ้ำซากนี้ให้กลายเป็นเรื่องราวสืบสวนที่ซ้อนกันเป็นชั้นๆ ปอกเปลือกลงลึกขึ้นได้เรื่อยๆ เหมือนหัวหอมที่เป้นชื่อตอนของภาคนี้
ส่วนแก้วนั่นคือนัยยะแฝงของเรื่องที่อิงกับความชอบของมหาเศรษฐีที่เล่นโดยเอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน สิ่งของประดับบ้านนี้เต็มไปด้วยแก้ว จนถึงโดมรูปหัวหอมแก้ว ซึ่งแม้ตัวเรื่องจะสามารถปอกเปลือกเล่าเรื่องหลายชั้นซ้อนกัน ซึ่งผู้ชมไม่อาจจะเดาได้แน่นอน แต่ก็ไม่ทำให้ผู้ชมงงเลย กลับเต็มไปด้วยความสนุก ตลก มีอารมณ์ขันล้อเลียนแนวสืบสวนด้วยกัน
พร้อมทั้งโยงเรื่องราวเหลือเชื่อเข้ามามีส่วนในคดีนี้ได้อย่างน่าทึ่ง พร้อมทั้งเก็บตกทุกประเด็นในเรื่องไว้ได้หมด ปิดจบเรื่องราวได้อย่างสวยงามในแบบที่ไม่ต้องจบด้วยการเปิดตัวคนร้ายแบบเดิมๆ ด้วย
ในแง่นักแสดง ยังยึดมาตรฐานเดียวกันกับภาคแรกนะ คือขนนักแสดงดัง ๆ มาพรึ่บ แล้วก็เหมือนจงใจให้นักแสดงอยู่ในวัยกลางคนด้วย ซึ่งก็เหมาะกับคาแรกเตอร์ของคนที่มีประสบการณ์ มีเหลี่ยมมีเชิงอยู่ประมาณหนึ่งด้วยแหละ ผู้เขียนชอบอยู่ 3 รายนะ คนแรกแน่นอนว่าเป็น แดเนียล เครก (Daniel Craig) ที่ได้โชว์ความกวนในภาคนี้เต็ม ๆ และพอยิ่งพ้นร่มเงา เจมส์ บอนด์มาแล้ว ก็เลยมีความปล่อยแก่
จนออกมาเป็นสายลับอัจฉริยะที่มีความลุง ๆ หน่อย แต่ก็เท่ไปอีกแบบนะ อีกคนคือ จาเนลล์ โมเน (Janelle Monáe) ที่ เรียกว่าโชว์สกิลการแสดงแบบเกินจากตัวอย่างไปเยอะมากกกก และ เอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน (Edward Norton) ที่รับบทมหาเศรษฐีได้ อีลอน มัสก์ สุด ๆ ไปเลย (อันนี้คำชมนะ (555) แต่ก็แอบมีบางตัวละครที่ยังใช้ได้ไม่คุ้มนัก แม้จะกระจายบทและสร้างคาแรกเตอร์ไว้แน่นพอสมควรแล้วก็ตาม
ประเภท: อาชญากรรม, คอเมดี้, ลึกลับ, ดราม่า , ระทึกขวัญ
ผู้กำกับ: Rian Johnson
นำแสดงโดย: Daniel Craig, Edward Norton, Kate Hudson, Dave Bautista, Janelle Monáe, Kathryn Hahn, Madelyn Cline, Leslie Odom Jr.
ความยาว: 140 นาที
กำหนดฉายในไทย: 23 ธันวาคม 2022
ติดตามหนังใหม่ได้ที่ รีวิวหนัง Zom 100