รีวิว the divine fury ภาพยนตร์เกาหลี ที่อยากแนะนำ ดูหนังออนไลน์ วันนี้อยากจะแนะนำภาพยนตร์เกาหลีเรื่องนี้ The Divine Fury หรือ มือนรกพระเจ้าคลั่ง ซึ่งได้สุดยอดนักแสดงอย่าง พัค ซอจุน มาแสดงนำในเรื่องนี้อีกด้วย โดยเรื่องราวจะเป็นการกล่างถึง ยงฮู สุดยอดนักสู้ของโลกผู้ไร้ศรัทธาในเทพองค์ใดนอกจากตัวเอง จู่ ๆ เขากลับมีแผลเป็นที่ฝ่ามือเหมือนพระเยซู เขาจึงไปพบบาทหลวงเพื่อหวังจะรักษาแผลเป็น แต่กลายเป็นว่าตัวเขาเองที่เป็นฝ่ายช่วย บาทหลวง ที่เกือบเอาชีวิตไม่รอดจากการไล่ผีแทน ยงฮู เริ่มเรียนรู้พลังพิเศษที่เขาได้รับจากแผลเป็นบนฝ่ามือนี้ เพื่อช่วยคนบริสุทธิ์ที่ถูกวิญญาณร้ายเล่นงาน แต่สิ่งที่เป็นอุปสรรคชิ้นใหญ่ของเขาคือ จอมมาร ที่หวังครอบงำจิตใจมนุษย์ด้วยความชั่วร้ายไปตลอดกาล แล้วเรื่องราวจะเป็นอย่างไรต้องไปติดตามกันได้ในเรื่อง The Divine Fury กันได้เลย และอยากให้ชมความสนุกมากมายได้เลยที่ ดูหนังออนไลน์ฟรี 2022
เนื้อเรื่อง the divine fury ดราม่าเกาหลี ติดอันดับ
รีวิว the divine fury ภาพยนตร์เกาหลี ที่อยากแนะนำ เรื่องราวเริ่มต้นจากชายที่ชื่อว่า ยงฮู (รับบทโดย พัค ซอจุน) นักมวย MMA ระดับเทพ เขามีปมเรื่องพ่อ เพราะเมื่อตอนที่เขายังเด็ก ครอบครัวเขาเป็นครอบครัวคริสต์ที่ค่อนข้างเคร่งครัด เชื่อในพระเจ้ามาก จนเมื่อตอนที่พ่อเขากำลังจะตาย ยงฮูได้ขอพรต่อพระเจ้าให้ช่วยชีวิตพ่อเขาไว้ด้วยเพราะพ่อเขาศรัทธาในพระเจ้าและเป็นคนดีมาตลอด
แต่สุดท้ายแล้วพ่อเขาก็เสียชีวิตลง หลังจากนั้นเขาจึงเป็นคนที่ไม่ศรัทธาในพระเจ้าและต่อต้านความเชื่อทางศาสนามาตลอด กลับมาที่ปัจจุบัน อยู่มาวันหนึ่งยงฮูก็มีแผลประหลาดขึ้นที่ฝ่ามือของเขา เป็นแผลที่พยายามรักษาเท่าไหร่ก็ไม่หาย เขาจึงไปถามบาทหลวง (รับบทโดย อัน ซองกิ) บาทหลวงบอกว่าแผลนี้คือรอยแผลของพระเยซูตอนตรึงกางเขน มือนี้เรียกว่าฝ่ามือพระเจ้าจะมีพลังวิเศษในการปราบวิญญาณร้าย
จากนั้นเจาก็เริ่มเรียนรู้วิธีใช้พลังพิเศษนี้เพื่อช่วยเหลือคนที่ถูกวิญญาณร้ายเล่นงาน แต่ทุกอย่างมันไม่ได้ง่ายดายอย่างนั้น เพราะมี จอมมารจีชิน (รับบทโดย อู โดฮวาน) จอมมารสุดชั่วร้ายที่หวังครอบงำจิตใจมนุษย์ด้วยความชั่วร้าย สุดท้ายบทสรุปของเรื่องราวทั้งหมดนี้จะเป็นอย่างไร ต้องไปรับชมด้วยตาตัวเอง the divine fury netflix มือนรกพระเจ้าคลั่งดูได้แล้ววันนี้พร้อมพากย์ไทยทาง netflix original
นักแสดงในเรื่องนี้
เจสัน คิม หรือ คิม จูฮวาน (Kim Joo-hwan) ผู้กำกับที่มีผลงานคุ้นหูแฟนหนังเกาหลีชาวไทยอย่าง Midnight Runners (2017) ได้กลับมาลองเปลี่ยนแนวจากหนังแอคชั่น netflixกวน ๆ มาสู่หนังแอ๊กชันเหนือธรรมชาติที่ว่าด้วยภูติผีปีศาจกับบาทหลวงในสไตล์ The Exorcist ผสมความดาร์กโมเดิร์นเท่ ๆ แบบ Constantine และแอ็กชันซัดพลังหมัดที่ชวนให้นึกถึงบางส่วนของ Iron Fist อยู่เหมือนกัน
โดยยังได้ดึงดาราหนุ่มกระแสแรงที่เพิ่งมีผลงานดังในบ้านเราจากการเล่นบทสมทบ (เพื่อนของลูกชายคนโต) ในเรื่อง Parasite และเป็นที่รู้จักของแฟนเกาหลีในบ้านเราจากซีรีส์ What’s Wrong With Secretary KIM อย่าง พัค ซอจุน (Park Seo-joon) มารับบทนำ แล้วก็เอาดารานำตัวหลักที่เล่นเป็นลูกชายคนโตจากเรื่อง Parasite อย่าง ชอย วูซิก (Choi Woo-sik) มารับบทสมทบแทน เออสับหน้าที่กันตลกดี นอกจากนี้ยังได้ทีมเอฟเฟกต์ชั้นแนวหน้าของเกาหลีจากหนัง Along with the Gods มาดูแลความสมจริงด้วย คือทีมงานคัดสรรมาแล้วจริง ๆ
นอกจากนี้หนังยังได้ดารารุ่นใหญ่ เจ้าของ 2 รางวัลนักแสดงชายยอดเยี่ยมของเกาหลีอย่าง อัน ซึงกิ (Ahn Sung-Ki) มารับบทสมทบสำคัญในฐานะบาทหลวงที่เป็นเหมือนอาจารย์ของพระเอก ในฟากตัวร้ายก็ไม่น้อยหน้าได้เจ้าของรางวัลนักแสดงหน้าใหม่ชายยอดเยี่ยม จากละครเรื่อง Mad Dog และเป็นที่รู้จักของแฟนชาวไทยจากซีรีส์เกาหลี Great Seducer อย่าง อู โดฮวาน (Woo Do-Hwan) มารับบทบิชอปดำผู้รับใช้จอมปีศาจร้ายแห่งขุมนรกด้วย
สิ่งที่น่าชื่นชม
ส่วนที่ต้องชื่นชมอย่างมากเลยคือ การนำชั้นเชิงเรื่องดราม่าที่เอกอุของหนังเกาหลีน่าดู มาผสมผสานใส่แนวหนังไล่ผีของฝรั่งได้อย่างน่าสนใจ เพิ่มมิติการเล่าเรื่องได้แปลกรสที่กำลังเบื่อเลี่ยนได้พอดิบพอดี ถ้าหนังฝรั่งเราก็คงมีตัวเอกที่ไม่ศรัทธาในพระเจ้า แต่ต้องรับบททดสอบด้วยการเผชิญหน้าปีศาจที่เข้าสิงผู้บริสุทธิ์
แล้วสุดท้ายก็เกิดเชื่อมั่นศรัทธาแล้วก็เอาชนะไปได้ง่าย ๆ เป็นอันจบ เป็นแนวคุ้นเคยดีจากหนังตระกูลนี้ แต่กับหนังเกาหลีเรื่องนี้ได้สร้างบันไดแห่งการพิสูจน์ตัวละครที่ละเอียดกว่า ดูน่าเชื่อกว่า พระเอกไม่ได้อยู่ ๆ จะมาเชื่ออย่างปุ่บปั่บได้ เอาว่ากันตรง ๆ แล้วจนจบเรื่องเขาก็ยังพูดว่าเขาไม่ได้ศรัทธาในพระเจ้าอยู่ดีด้วยซ้ำ
และเส้นทางการเรียนรู้ของตัวเอกก็ไม่ได้เรียบราบจนไร้สติ หากแต่เป็นการเรียนรู้ที่ค่อย ๆ มีพัฒนาการโดยคงลักษณะนิสัยที่เป็นเสน่ห์ของพระเอกที่นิ่งกวนเล็ก ๆ และเหมือนมีคำถามขัดแย้งกับศาสนาอยู่ตลอดเวลาให้คนดูชวนคิดตามด้วย และบาทหลวงเฒ่าก็เก่งในการสอนด้วยสิ หนังเลยมีโมเมนต์ดี ๆ อยู่ตลอด
ตรงนี้เป็นการสร้างความขัดแย้งที่น่าจับตามองตลอด ของการแสดงคู่กันระหว่างคู่หูต่างรุ่น อย่างพระเอกกับบาทหลวงสูงวัย ซึ่งตรงนี้ต้องยอมรับว่าการแสดงของ อัน ซึงกิ นั้นชูชงให้บทบาทของ พัค ซอจุน ยิ่งดูเข้มข้นขึ้นมาก
ทั้งเรายังไม่อาจละสายตาจากการเล่นน้อยแต่สะกดของทั้งคู่ได้เลย บ่อยครั้งเป็นเพียงการเล่นด้วยการกะพริบตา แต่สื่ออารมณ์ได้หลากหลาย แม้แต่บทสมทบเล็ก ๆ ของ ชอย วูซิก เอง เราก็จะได้เห็นว่าเขามีฉากโชว์ของตัวเองที่น่าสนใจเช่นกัน คือเป็นเครื่องยืนยันว่าบท การกำกับ และการแสดงของหนังเรื่องนี้ คือเครื่องเทศรสใหม่ ที่ทำให้หนังแนวนี้แตกต่างอย่างมีนัยยะสำคัญจริง ๆ
จุดอ่อนของหนังมีที่หนักหน่อยคือ ฉากช่วงสุดท้ายนั้นไม่ค่อยมันเร้าใจสมการรอคอยที่ปูกันมายาวนาน คิวบู๊และการออกแบบฉากต่าง ๆ ยังน่าจะทำได้สนุกกว่านี้ น่าตื่นตาตื่นใจกว่านี้ได้อีก และยิ่งฉากถ้ำนรกที่พระเอกต้องปิดบัญชีกับบอสใหญ่นั้นก็ไม่ได้รู้สึกว่า อิ่ม เท่าที่ควร ตัวนักแสดง อู โดฮวานก็ทำได้ดีในการสร้างความน่ากลัวกลางเรื่องมา
แต่พอมาถึงฉากสุดท้ายที่ต้องปะหนังเทียมทั้งตัวก็กลับลดทอนปิดบังการแสดงดี ๆ ของเขาไปกลายเป็นแค่พวกปีศาจดาด ๆ ที่มีเห็นในหนังทั่วไป ซ้ำพลังอะไรก็ไม่ได้ดูว้าวเลย มีตอนท้ายสุดที่เผยร่างปีศาจจากบ่อนรกนั่นล่ะที่รู้สึกว่าหนังกั๊กไว้ปล่อยของภาคต่อหรือเปล่าหว่าอยู่เหมือนกัน
แต่พอหนังจบเราก็พอเข้าใจได้ว่าทำไมจังหวะการเล่าของหนังมันช่างเหมือนการปูเรื่องอยู่ตลอดเรื่องเลย นั่นก็เพราะมันมีความทะเยอทะยานสำคัญที่จะสร้างจักรวาลหนังไล่ผีเกาหลีในแบบของตัวเอง และเรื่องนี้ก็เป็นเพียงการปูพื้นจักรวาลไล่ผีเท่านั้นเอง ตรงนี้ก็คงเป็นทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนในตัว เพราะใครหวังมาดูหนังแอคชั่นน่าดูมัน ๆ บอกเลยอาจมีหลับเอาได้บางช่วงเหมือนกัน แต่ถ้าชอบแนวดราม่าดี ๆ นี่คือหนังที่น่าลองรสสุด ๆ ในแนวขนบหนังผีตอนนี้
ในส่วนของบทความรู้สึกส่วนตัวมองว่าเฉยๆ เอื่อยไปด้วย ละก็อิงศาสนาแบบสุดโต่ง ตัวละครตัดสินใจด้วยความเชื่อและสัญชาติญาณล้วนๆ ผมเลยไม่ค่อยชอบส่วนนี้เท่าไหร่ แต่บางคนอาจจะชอบก็ได้ ต่อมาด้านการดำเนินเรื่อง ในส่วนนี้ก็ทำได้ธรรมดาทั่วไป ส่วนตัวผมมองว่าเล่าเรื่องแปลกๆ มันดูน่าจะเป็นซีรีส์มากกว่าเป็นหนัง แต่ก็ไม่ได้แย่นะ ทำออกมาได้ดีเลย
ต่อมาด้านการแสดง ส่วนนี้ถือเป็นจุดแข็งของหนังเรื่องนี้เลย นักแสดงแบกมาก พัคซอจุน เล่นได้ดีแทบจะแบกหนังเอาไว้ทั้งเรื่อง ฉากแอ็คชั่นก็ทำได้ดีเลย แม้จะดูเวอร์ๆแต่ก็เท่ห์ดี ส่วน อัน ซองกิ ที่รับบทเปฺนบาทหลวง และ อู โดฮวาน ที่รับบทเป็นจอมมาร ก็แสดงได้ดีตามมาตรฐานทั่วไป โดยรวมแล้วทุกคนทำได้ดี
สุดท้ายด้านงานภาพและการโปรดักชั่น เริ่มที่งานภาพก่อน งานภาพเรื่องนี้ทำออกมาได้ดีเลย ถ่ายสวย มุมกล้องดี แถมโทนสีที่เลือกใช้ก็เลือกได้ดี เหมาะกับธีมและบรรยากาศของเนื้อเรื่อง ต่อมาด้านการโปรดักชั่นรวมถึงฉากแอ็คชั่นต่างๆ งานโปรดักชั่นถือว่าทำได้ดีเลย ซีจีก็ดีอยู่ในระดับนึง แต่จะยังมีลอยๆ อยู่บ้างไม่ถึงกับดีมาก
ฉากแอ็คชั่นทั้งหมดในเรื่องก็ทำออกมาอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ตามมาตรฐานหนังแอ็คชั่นทั่วไป ซึ่งส่วนนี้เป็นส่วนสำคัญที่ช่วนให้ภาพรวมของหนังมันออกมาสนุก และสามารถมอบความบันเทิงให้กับผู้ชมได้
สรุปเรื่อง the divine fury
รีวิว the divine fury ภาพยนตร์เกาหลี ที่อยากแนะนำ สรุปภาพรวมทั้งหมด จากความรู้สึกส่วนตัว มองว่าภาพรวมของหนังเรื่องนี้อยู่ในเกณฑ์ที่ดีใช้ได้เลย จะไปอ่อนก็ตรงเรื่องบทและการดำเนินเรื่องเนี่ยแหละ ในความคิดนะ คิดว่ามันจืดชืดไปหน่อย เรื่องราวก็ไม่น่าติดตาม ดำเนินเรื่องแบบเอื่อยๆ ดูแล้วไม่อินหรือลุ้นตามเลย
สำหรับเรานะ แต่คนอื่นอาจจะชอบก็ได้ ส่วนด้านงานภาพ การโปรดักชั่น รวมถึงฉากแอ็คชั่น มันๆต่างๆ ทั้งหมดนี้ทำออกมาได้ดีแล้ว โดยรวมแล้วก็สนุกเพลินๆใช้ได้ แล้วแต่คนชอบจริงๆ บางคนอาจจะชอบมากๆก็ได้ ก็อยากแนะนำให้ทุกคนลองไปดูกันด้วยตาตัวเอง ไม่ต้องมาเชื่อที่รีวิวก็ได้ เพราะหนังเรื่องนี้เสียงวิจารณ์ค่อนข้างแตก บางคนก็ไม่ชอบเท่าไหร่ บางคนก็ชอบมากๆ อันนี้ต้องลองไปพิสูจน์ด้วยตัวเองกันนะ
จุดเด่น จุดสังเกต ของเรื่องนี้
จุดเด่น
งานสร้างดีงาม เนี้ยบใช้ได้ นักแสดงโคตรดี โดยเฉพาะบาทหลวงแก่นี่ประทับใจเลยบทดราม่าเสริมเรื่องได้น่าสนใจดีมาก
จุดสังเกต
ดราม่ากับการปูเรื่องแบบอยากมีภาคต่อ อาจเป็นยานอนหลับสำหรับบางคน ช่วงท้ายทำได้ไม่ถึงใจเท่าไหร่ ทั้ง ๆ ที่ชงมาดีตลอดเรื่อง หนังให้ความรู้สึกนานเกินไปเหมือนกันนะ