รีวิว tunnel ซีรี่ย์เกาหลี สุดลุ้นระทึก วันนี้ดูหนังออนไลน์มาคุยกันในเรื่อง Tunnel อุโมงค์ลับซ่อนมิติ เป็นซีรีส์เกาหลีแนวอาชญากรรม ระทึกขวัญ ที่มีความสนุกไม่แพ้หนังอย่างเรื่อง 32 malasana street 32 เลย เป็นเรื่องราวของตำรวจสายสืบในปี 1986 ซีรีส์สืบสวนที่แม้จะเล่าเรื่องราวแบบพล็อตเหนือธรรมชาติ เรื่องราวของพัคกวางโฮ นายตำรวจสายสืบของสถานีตำรวจฮวายังกำลังตามเบาะแสของคนร้ายในคดีที่เกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมหญิงสาวหลายรายในเขตพื้นที่ฮวายังนั้น บังเอิญเขาได้พบกับบุคคลที่น่าสงสัยซึ่งคาดว่ากำลังก่อเหตุฆาตกรรมอยู่ภายในอุโมงค์ซึ่งเป็นถนนทางรอดสำหรับการสัญจร เขาได้พลาดท่าถูกผู้ต้องสงสัยทำร้ายจนสลบไป หลังจากเขาฟื้นขึ้นมา เขาก็ได้พบว่าตัวเองได้ข้ามเวลามาในปี 2016 ในยุคที่อะไรๆ ก็เปลี่ยนไปไม่เหมือนกับที่ที่เขาจากมาเรื่องราวจะเป็นยังไงต่อไปนั้นไปติดตามชมกันได้เลย
ข้อมูลแนะนำเรื่อง tunnel หนังเกาหลี แนะนำให้ดูเลย
รีวิว tunnel ซีรี่ย์เกาหลี สุดลุ้นระทึก ซีรีส์ Tunnel หรือชื่อภาษาไทยว่า อุโมงค์ลับซ่อนมิติ เป็นซีรีส์เกาหลี สืบสวนแนวอาชญากรรม ระทึกขวัญ เป็นเรื่องราวของตำรวจสายสืบในปี 1986 ชื่อว่า พัคกวางโฮ (นำแสดงโดย ชเวจินฮยอก) ขณะที่เขากำลังวิ่งไล่หัวขโมย ก็บังเอิญไปพบศพหญิงสาวข้างทางถูกปิดปากและรัดด้วยถุงน่อง และมีรอยจุดที่ข้อเท้า 1 จุด หลังจากนั้นก็พบศพหญิงสาวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
โดยที่จำนวนจุดบนข้อเท้าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน จาก 1 เป็น 2 จนเป็น 6 นั่นทำให้ทีมตำรวจสายสืบรู้ได้ทันทีว่า พวกเขากำลังเจอคดีฆาตกรรมต่อเนื่องนั่นเอง ซึ่งฆาตรกรคนนี้เก่งมาก เขาฆ่าคนโดยไม่ทิ้งร่องรอยใดๆไว้เลย ทำให้ตำรวจหัวหมุนกันเลยทีเดียว แต่ก็มีเหตุการณ์ที่ทำพัคกวางโฮเจอตัวฆาตรกรในอุโมงค์แห่งหนึ่ง แต่พัคกวางโฮไม่สามารถจับกุมได้ แถมยังโดนฟาดหัวด้วยก้อนหิน ก่อเกิดจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้
หนังออนไลน์เอาตัวรอดสัญชาติเกาหลีใต้ที่ลงจอมาแล้วตั้งแต่ปี 2016 และสมาชิกสตรีมมิ่งค่ายสีเหลืองอย่าง VIU คงจะได้ลุ้นระทึกไปกับชะตากรรมของตัวเอกในเรื่องจนแน่นหน้าอกกันมาแล้ว และยังคงแน่นหนักมาจนถึงปี 2023 นี่เลยเชียว ด้วยโปรดักชันที่สมจริงและบทที่บีบคั้น ดึงอารมณ์แถมยังไม่วายเสียดสีแบบเหมารวมทั้ง การเมือง รัฐบาล และสื่อในประเทศแบบเจ็ดจี๊ด
เนื้อเรื่อง
เรื่องราวซวย ๆ ของ อีจองซู (ฮาจองอู ผลงาน) เซลขายรถที่กำลังแฮปปี้สุด ๆ เพราะขายรถได้ถึง 8 คัน และกำลังเดินทางกลับบ้านพร้อมเค้กวันเกิดสำหรับลูกสาวตัวน้อยของเขา แต่ขณะที่เขากำลังขับรถลอดอุโมงค์ เหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน เมื่ออุโมงค์ถล่มลงมา และทำให้เขาติดอยู่ใต้ซากปรักหักพังของอุโมงค์ทั้งเส้น และเหตุอุโมงค์ถล่อมครั้งนี้ก็กลายเป็นข่าวฮือฮา ที่เรียกความสนใจของคนทั้งประเทศให้จ้องมองปฏิบัติการช่วยชีวิตครั้งนี้
สื่อหิวเริ่มรุมทึ้งเป็นเจ้าแรก ด้วยความอยากได้ข่าวแบบเรียลไทม์ก่อนใครจนไม่สนถึงความปลอดภัยที่จะเกิดขึ้นกับชีวิตของผู้ประสบเหตุ แม้กระทั่งคนในรัฐบาลที่พร้อมทำตัวเป็นวอลเปเปอร์ออกสื่อเมื่อ ‘เซฮยอน’ (แบดูนา) ภรรยาของผู้เคราะห์ร้ายรุดมาถึงที่เกิดเหตุด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง มีเพียง ‘คิมแดคยอง’ (โอดัลซู) หัวหน้าหน่วยกู้ภัยเท่านั้น ที่ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างสุดความสามารถและมีสติของความเป็นมนุษย์มากกว่าใคร ๆ
ขณะเดียวกันอีจองซู ชายเคราะห์ร้ายก็ต้องยื้อชีวิตของตัวเองด้วยน้ำ 2 ขวดเล็ก กับเค้ก 1 ก้อน ให้อยู่รอดได้นานที่สุด เพื่อให้รอการช่วยเหลือที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะมาถึง
ความรู้สึกหลังจากดูจบแล้ว
รีวิว tunnel ซีรี่ย์เกาหลี สุดลุ้นระทึก เป็นซีรีส์อาชญากรรม เกาหลีที่มีความซับซ้อนซ่อนเงื่อนมากๆ บอกได้เลยว่าทุกคดีในเรื่องนี้พีคสุดยอด ก่อนอื่นเลยเราจะมาบอกจุดที่เราชอบของเรื่องนี้ คือ ความเชื่อมโยงกันของไทม์ไลน์อดีตและปัจจุบัน ที่โครงเรื่องมีความเกี่ยวข้องและลงล็อคกันได้อย่างเหมาะเจาะ เช่น รุ่นน้องที่ชื่อ พัคกวางโฮ ปี 2016 ก็คือลูกของผู้หญิงที่พัคกวางโฮเคยช่วยไว้ตอน 1986
เธอชื่นชมในตัวหมู่พัคกวางโฮ เลยตั้งชื่อลูกของเธอว่าพัคกวางโฮ และอยากให้ลูกเป็นตำรวจ นอกจากนี้เรายังชอบการวิเคราะห์ฆาตรกรของศาสตราจารย์ชินแจอี เป็นการวิเคราะห์แนวจิตวิทยา ที่วิเคราะห์ได้อย่างลึกซึ้ง มีประโยคหนึ่งที่เธอพูดไว้ว่า “ฆาตรกรที่ก่อเหตุโดยไม่มีเหตุผลเป็นเรื่องไร้สาระ เพราะฆาตรกรทุกคนมีเหตุผล”
ไม่ได้หมายถึงว่าเหยื่อสมควรถูกฆ่านะ แต่หมายถึงฆาตรกรไปเจอสิ่งที่อาจเรียกได้ว่า ตัวกระตุ้น ที่กระตุ้นให้ฆาตรกรนึกถึงปมของตัวเองและก่อฆาตกรรม เหมือนได้เห็นฆาตรกรอีกมุมหนึ่ง ทำให้เข้าใจและช่วยให้การจับกุมง่ายขึ้น
แต่สิ่งที่ทำให้รำคาญใจในเรื่องนี้คือ ฆาตรกรคดีฆาตกรรมต่อเนื่องซึ่งเป็นคดีหลักของเรื่องนี้ เขาเก่งเกินไปเกินมนุษย์ อีพีหลังๆเราดูแล้วหงุดหงิดมากๆ เหมือนฆาตรกรพยายามบอกใบ้ แต่ทีมสายสืบก็ไม่รู้เรื่องสักที มีชินแจอีที่พอจะรับรู้ได้ แต่ไม่ค่อยมีใครฟัง
จุดเด่นและจุดด้อยของเรื่อง
สิ่งที่โดดเด่นของหนังออนไลน์เรื่องนี้ก็คือบท ที่หากให้พูดตรง ๆ คือ อาจจะไม่สนุก ตื่นเต้น เท่ากับเรื่องที่กล่าวมาด้านบนทั้งหมดก็จริง เมื่อตัวเรื่องไม่ได้เน้น ความตื่นเต้นระทึกขวัญจากสถานการณ์คับขัน
และเนื้อเรื่องไม่ได้ขายความซับซ้อน แต่สิ่งที่ทำให้บทของ เรื่องนี้แข็งแรงกว่าทุกเรื่องที่กล่าวมาก็คือ รายละเอียดและความน่าเชื่อถือของตัวละคร เมื่อเป็นซีรีส์ที่ดูใส่ใจฉาก Crime Scene
มีการเก็บรายละเอียดกันจริงจัง เอาที่เห็นได้ชัดเลยคือ ใส่ถุงมือสวมถุงเท้ากันจริง ๆ กับซีรีส์หรือหนังบางเรื่องเห็นเดินลุยเข้าที่เกิดเหตุเอามือเปล่าหยิบจับหลักฐาน ถ้าเป็นเรื่องจริงสถานที่เกิดเหตุปนเปื้อนหมด แล้วตัวละครมีการลงพื้นที่สืบสวน
ให้รายละเอียดการเชื่อมโยงข้อมูลมาวิเคราะห์ จนคนดูเห็นภาพตามการสืบสวนไปด้วยได้จริง ๆ ไม่ได้ใช้โชคดวง ลมเพลมพัด ความเหนือธรรมชาติ ใช้บทช่วยแบบฟลุ๊ค ๆ เหมือนกับเรื่องอื่น
แต่ถามว่ามันมีความไม่น่าเชื่อถืออยู่ไหมกับซีรีส์เกาหลีเรื่องนี้ มันก็ยังมีเจืออยู่บ้างกับความเป็นซีรีส์เหนือธรรมชาติ หรือความไม่สมเหตุผลของการที่ พัคกวางโฮ เข้ามาร่วมทีมสืบสวนโดยการสวมรอยเป็นคนอื่น แล้วไม่มีใครสงสัยในทีแรก
แต่หากเจาะเฉพาะรายละเอียดย่อยที่ไม่ใช่เนื้อหาหลัก ก็ถือว่าซีรีส์เรื่องนี้บทแข็งแรงดีเรื่องหนึ่งเลยล่ะ แต่อย่าเห็นว่าผมชมเรื่องบทแข็งแรงดีแล้วจะไม่มีส่วนที่ไม่ถูกใจนะ
บทวิเคราะห์เรื่องนี้
ผ่านไป 6 ปีฝั่งเกาหลีก็ทำหนังเรื่องนี้ขึ้นมา ‘Tunnel’ หรือในชื่อไทย ‘หนังออนไลน์ อุโมงค์มรณะ’ หนังเอาตัวรอดที่ดำเนินไปในทางเดียวกันคือ Single Location หรือหนังโลเคชันเดียว และเป็นประเภทที่ตัวละครต้องติดอยู่ในสถานที่เดียวทั้งเรื่อง ถึงแม้จะมีการเคลื่อนย้ายสารร่างอยู่บ้าง แต่ก็ยังอยู่ในวงจำกัดและไม่สามารถช่วยตัวเองให้ออกไปนอกรัศมีของพื้นที่จำกัดนั้นได้เลย โดยให้เครื่องมือช่วยชีวิตไว้ 3 อย่าง คือน้ำเปล่า 2 ขวดที่ได้แถมมาจากปั๊มน้ำมัน เค้กวันเกิดของลูกสาว และโทรศัพท์มือถือที่มีแบตเตอร์รี่อยู่ 70 กว่าเปอร์เซ็นต์
ในขณะที่พล็อตเรื่องดำเนินมาแบบนี้ และสภาพหน้างานก็ช่างพังพินาศชนิดที่ไร้ทางออก ก็ถึงคราวที่ผู้ชมอย่างเรา ๆ จะตั้งป้อมรอลุ้นไปกับชะตากรรมของตัวเอก ซึ่งก็ได้ลุ้นกันไปตามคาด แต่ไม่ถึงขึ้นนิ้วหงิกอย่างที่คิดไว้ตอนแรกเท่านั้นเอง เพราะหนังเลือกที่จะพูดถึงประเด็นแวดล้อมอีกหลายประเด็น โดยที่ไม่ได้แช่นิ่งอยู่ที่การเอาตัวรอดของตัวเอกอย่างที่หนังเรื่องอื่น ๆ ในแนวเดียวกันได้เคยทำเอาไว้
ทั้งประเด็นของความผิดพลาดไร้สาระที่ทำให้ปฏิบัติการช่วยชีวิตล่าช้าอย่างไม่ควรจะเป็น จนคุกคามโอกาสที่ตัวละครจะเอาชีวิตรอดออกมาได้ และสร้างความกดดันชนิดสิ้นหวังอย่างทันทีทันใด จนคนดูอย่างเรา ๆ ต้องสบถออกมาอย่างช่วยไม่ได้ และสิ้นหวังไปกับตัวละครในทันที ประเด็นของการเมืองและธุรกิจที่ห่วงแต่เรื่องผลประโยชน์จนหลงลืมไปว่า มีหนึ่งชีวิตที่รอคอยอยู่อย่างจวนเจียนจะขาดใจ
ประเด็นของการเอาแต่ได้ของสื่อหิวหลายสำนัก ที่ไม่สนหินสดแดด แต่กระเหี้ยนกระหือรืออยากที่จะเป็นอีกาคาบข่าวเป็นตัวแรก มากกว่าที่จะเป็นห่วงเป็นใยเพื่อนมนุษย์ด้วยกันอย่างแท้จริง เรียกว่าเป็นการจงใจเสียดสีทุกวงการอย่างเจ็บแสบ โดยไม่มีคำพูดคม ๆ ให้เจ็บจึ๊กแต่สามารถประจานและก่นด่าออกมาได้อย่างแนบเนียน ด้วยบทและจังหวะการนำเสนอที่ตลกขบขัน และทำให้คนดูทั้งขำ ทั้งสาแก่ใจและเห็นคล้อยว่ามันจริง
และด้วยการกระจายน้ำหนักไปที่ประเด็นมากมายที่อยากพูดถึงแบบนี้ ก็ทำให้หนังเกาหลีเรื่องนี้กลายเป็นหนังเอาตัวรอดที่เกือบจะเข้มข้นแต่กลับไม่เข้มอย่างใจคิด ถึงกระนั้นหนังก็ยังคงตรึงอารมณ์ชวนระทึกเอาไว้ได้อย่างแน่นเหนียว เรายังคงเอาใจช่วยพ่อเซลขายรถคนนี้ได้อย่างใจจดใจจ่อ ในขณะที่บทก็ทำให้เราได้เห็นถึงความเป็นมนุย์ในยามคับขัน เมื่อหนังพาเราไปพบกับเพื่อนร่วมชะตาอีกสองชีวิตที่ติดอยู่ในนั้นเช่นเดียวกันเขา และเป็นชีวิตที่ผู้ชมต้องเอาใจช่วยอย่างสุดกำลังแน่นอน
เป็นบทที่ใส่เข้ามาเพื่อพิสูจน์ความเป็นมนุษย์ และเรียกดราม่าน้ำตาซึมให้กับคนดู พร้อม ๆ กับคอยลุ้นว่าอย่านะ อย่ามีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นเลยนะ ผสมกับดราม่านอกอุโมงค์ที่รับมือโดยแบดูนา นางเอกของเรื่องที่รับบทเป็นภรรยาของผู้ประสบเหตุ ที่เล่นกับการรอคอย ความหวังและการตัดสินใจที่กล้ำกลืน ผ่านความรู้สึกที่สังคมกล่าวโทษมาที่ความซวยของครอบครัวเธออย่างไม่ควรจะเป็น และทำให้เราสัมผัสถึงคีย์แมสเสจที่หนังสื่อออกมาได้ว่า
คนเราจะอยู่รอความตายอย่างสิ้นหวังไม่ได้จริง ๆ เมื่อถึงคราวที่จะต้องสู้เพื่อความอยู่รอดก็จงฮึดให้ถึงที่สุด แม้ว่าจะมีเพียงเศษเสี้ยวของความเป็นไปได้ก็ตาม และเชื่อเถอะว่า ถ้าคุณสู้จนถึงที่สุด โดยไม่ละเลยลมหายใจของตนเองและของสิ่งมีชีวิตรอบข้าง รางวัลที่ได้มาก็คุ้มเกินจะคุ้ม
โปรดักชันเรื่องนี้ไม่มีง่อยเลยนะ และสมควรได้คำชมซะด้วยซ้ำ กับฉากที่สมจริงและ CG ที่เนียนตา ทุกฉาก ทุกตอนและมุมกล้องต่าง ๆ สามารถดึงอารมณ์ผู้ชมให้คล้อยตามและจินตนาการไปด้วยได้ว่า หากเราต้องติดอยู่ในสภาพเดียวกับตัวเอกของเรื่อง เราจะสู้และเอาชีวิตให้รอดด้วยวิธีไหน ทั้งฝุ่นปูนที่เขรอะเต็มไปหมด ทั้งอากาศที่อับชื้น และต้องหายใจอยู่ในสภาพที่ไร้อาหารเป็นเวลานานหลายอาทิตย์ เรียกว่าคอสตูมเรื่องนี้ต้องทำงานหนักไม่ต่างจากหนังเรื่องอื่น ๆ ที่ดาราเปลี่ยนชุดแทบทุกฉาก
รวมไปถึงแสง สี ที่สร้างบรรยากาศให้ตามลุ้นอย่างสมจริง และองค์ประกอบภายนอกทั้งหมดที่ชวนให้คิดถึงเหตุการณ์จริงและเคยเกิดขึ้นมาแล้วหลาย ๆ เหตุการณ์ โดยเฉพาะ เรื่องราวของ ‘The 33’ หนังที่สร้างจากเรื่องจริงของเหตุการณ์เหมืองถล่มที่ชิลิ หรือแม้กระทั่งการติดอยู่ในถ้ำขุนน้ำนางนอนของน้อง ๆ ทีมหมูป่า ซึ่งเป็นส่วนที่น่าชื่นชมของงานภาพที่สร้างความรู้สึกสมจริงได้ง่าย ๆ
นี่ถ้าหากบทจะขยี้ในส่วนของการเอาตัวรอดมากกว่านี้ โดยไม่แวะไปเล่นประเด็นดราม่านอกถ้ำอยู่บ่อย ๆ ตัวหนังอาจสร้างความเห็นอกเห็นใจและดึงดราม่าให้ผู้ชมคล้อยตาม และลุ้นระทึกได้มากกว่านี้อีกแน่ ๆ โดยเฉพาะประเด็นที่สามารถขยี้ได้มากกว่านี้อีกโดยเฉพาะเรื่องของความรู้สึกกดดัน สิ้นหวัง ทนทุกข์ที่เกิดขึ้นกับครอบครัวเหยื่อที่เปิดขึ้นมาแล้วแต่ไม่ได้เก็บรายละเอียดให้หมดจน เสียดาย
สรุปการรีวิวเรื่องนี้
เป็นซีรี่ส์ที่สนุกเรื่องหนึ่ง แต่ขอจำกัดความว่าเป็นความสนุกในแง่มุมของการสืบสวน พยายามจับตัวคนร้าย แต่ไม่ใช่แง่มุมความเป็นทริลเลอร์ ตื่นเต้น ระทึกขวัญ สักเท่าไหร่ เมื่อซีรีส์ไม่ได้สร้างข้อจำกัดอะไรให้กับตัวละคร จนคนดูต้องนั่งลุ้นตัวเกร็งอะไรขนาดนั้น
เป็นซีรีส์อีกเรื่องหนึ่งที่บทพูดค่อนข้างเยอะ ส่วนตัวผมเองชอบในความแข็งแรงของบท เอาจริงมองเป็นบวกมากกว่าซีรีส์สืบสวนเกาหลี netflixก่อนหน้าที่เคยดูด้วยซ้ำ ถึงความบันเทิงจะน้อยกว่าก็เถอะ